วงการธุรกิจภาพยนตร์ไทยนับว่าเป็นสื่อที่สำคัญที่มีอิทธิพลอย่างมากจนสามารถเข้าถึงผุู้คนจำนวนมาก เรื่องราวต่างๆในภาพยนตร์ที่สร้างสรรค์ออกมาจากความคิดของนักเขียน ผู้กำกับ นักแสดง และหลายๆ ฝ่าย ที่ได้ถ่ายทอดออกมาเป็นเรื่องราวให้ความบันเทิง ความสนุกสนาน ทั้งได้สาระ ความรู้ คติเตือนใจ และยังสร้างแรงบันดาลใจให้แก่คนรุ่นใหม่ๆ ที่จะสามารถรังสรรค์ผลงานภาพยนตร์ใหม่ๆนำเสนอออกมาให้แก่ผู้ชมอยู่เรื่อยๆ ที่สำคัญไปกว่านั้นคือได้เผยแพร่วัฒนธรรมด้านต่างๆที่ได้สอดแทรกเข้าไปไว้ในภาพยนตร์ จนทำให้คนทั่วโลกได้รู้จักประเทศไทยเป็นอย่างดี เช่น ภาพยนตร์เรื่ององค์บาก ภาค 1-2-3 ที่สร้างความโด่งดังไปให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์จากทั่วโลกได้รู้จักตัวนักแสดง อย่าง โทนนี่ จา นับได้ว่าเป็นนักแสดงไทยที่มีผลงานสร้างชื่อเสียงให้แก่วงการภาพยนตร์ได้เป็นรู้จัก และตัวโทนี่ จา เองยังได้เป็นดาราฮอลลิวูด ซึ่งเป็นผลผลิดต่อเนื่องการสร้างภาพยนตร์ของประเทศไทยอีกด้วย ปัจจุบันวงการอุตสาหกรรมภาพยนต์ของประเทศไทยได้มีการพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านเพิ่มความรู้ให้แก่นักแสดงเอง ทั้งด้านบทบาทการแสดง การเขียนบท รวมไปถึงเทคนิคการถ่ายภาพ มุมกล้องการถ่ายภาพยนตร์ที่นำเอาเทคนิคของวงการฮอลลิวูดมาใช้ เพื่อพัฒนาวงการภาพยนตร์ของไทยให้มีศักยาภาพเทียบเท่าประดับฮอลิวู้ดต่อไป
รายได้ของภาพยนตร์ไทยปรับตัวลดลง
อย่างที่รู้จักกัน นักแสดงไทยที่สามารถไปโกอินเตอร์กับวงการหนังฮอลลีวูดอย่าง โทนี่่ จา เคยกล่าวไว้ว่า ทัศนคติที่ดีของการเรียนรู้จะเป็นนักแสดงหรืออาชีพนักแสดงนั้นสำคัญมาก หรือแม้แต่ตัวนักแสดงที่มีชื่อเสียงของประเทศไทยเองต้องมีทัศนคติที่ดี นักแสดงควรยอมรับฟังเสียงติชมของผู้ชมที่มีทั้งดีและไม่ดีให้ได้ แล้วนำคำติชมเหล่านั้นมาพัฒนาอาชีพของตนให้เป็นไปในทางที่ดีแก่อาชีพนักแสดงต่อไป และส่วนหนึ่งต้องยอมรับเลยว่า ระบบของโรงภาพยนตร์ไม่ค่อยเอื้ออำนวยต่อหนังไทยมากนัก จะเห็นได้จากจำนวนของวันและเวลาที่มีหนังไทยเข้ามาฉายในโรงภาพยนตร์ลดน้อยลง เนื่องจากสาเหตุที่มีการหลีกเลี่ยงให้กับภาพยนตร์จากต่างประเทศได้เข้ามาฉายมากกว่าและสามารถทำเงินจากผู้ชมได้มากกว่าภาพยนตร์ไทย สังเกตได้จากยอดของรายได้ทั้งหมดที่หนังไทยแต่เรื่องที่เข้าฉายต่อละปีซึ่งมีรายได้ลดลงเมื่อเปรีบยเทียบกับหนังไทยที่ได้รับความนิยมจากคนดูสมัยก่อน อีกทั้งเมื่อยอดของรายได้ลดลงจึงทำให้จำนวนหนังไทยที่ผลิตออกมาฉายในโรงภาพยนตร์จึงลดลงไปด้วย รวมไปถึงราคาของตั๋วหนังที่มีราคาแพงจนไม่ค่อยมีผู้ชมอยากจะไปดูที่โรงภาพยนตร์กันมากนัก อีกทั้งสื่่อออนไลน์ต่างๆที่มีหนังใหม่เข้าไปอัปโหลดไว้ในเว็บออนไลน์เป็นทางเลือกทำผู้ชมหันไปดูภาพยนตร์ใหม่ๆในระบบออนไลน์มากยิ่งขึ้น ปัญหาเหล่านี้ได้ทำให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ของไทยจึงซบเซามีรายได้น้อยลง
ปัจจัยที่สามารถกระตุ้นอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยให้ดีขึ้น
- ควรให้รัฐบาลเข้ามาช่วยสนับสนุนพัฒนาคนรุ่นใหม่ เพราะว่าคนรุ่นใหม่มักจะมีแนวคิดที่สร้างสรรค์ แต่ขาดทุนทรัพย์จะผลิตผลงานเป็นภาพยนตร์ ส่วนภาคเอกชนก็ไม่ค่อยกล้าจะเสี่ยงที่จะลงทุนให้กับคนรุ่นใหม่เท่าไรนัก เนื่องจากต้องใช้การลงต้นในการทำหนังซักเรื่องนั้นเป็นจำนวนหลายล้านบาท ซึ่งภาคเอกชนเองคาดการณ์ว่า ถ้าลงทุนให้ไปแล้วจะขาดทุนเสียมากกว่า เพราะฉะนั้นภาครัฐควรเข้ามาช่วยลงทุนในส่วนของอุตสาหกรรมภาพยนตร์บ้าง เพื่อจะทำให้ผุ้กำกับหน้าใหม่ๆมีความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆที่ไม่มีทุนในการสร้างภาพยนตร์จะได้ผลิตผลงานภาพยนตร์ดีๆ ได้บ้าง
- ภาครัฐควรเป็นสื่อกลางที่ประสานงานในเรื่องพูดคุยเจรจากับเจ้าของโรงหนัง เช่นให้เจ้าของโรงหนังเพิ่มรอบและเวลาวันของการฉายภาพยนตร์ขยายออกไปให้มากขึ้น ช่วยเจรจากับเจ้าของโรงหนังสามารถให้หนังไทยได้ฉายในโรงภาพยนต์เป็นจำนวนวันมากขึ้น เพราะจะทำให้สามารถกระตุ้นความต้องการของผู้คนที่อยากจะเข้ามาชมหนังไทยในโรงภาพยนต์เพิ่มขึ้นอีกด้วย
- ควรมีการจัดสัมมนาให้ความรู้เพิ่มเติมด้านภาพยนตร์ให้มากขึ้นแบบจัดทำให้ต่อเนื่อง เปิดหลักสูตรการเรียนการสอนกระจายความรู้ไปยังสถาบันการศึกษาสาขาภาพยนตร์ หรือเปิดหลักสูตรให้คนทั่วไปได้เข้ารับการศึกษาและอบรมด้านภาพยนตร์โดยเน้นให้เสียค่าใช้จ่ายให้น้อยที่สุด
- ควรยึดเอาแบบอุตสาหกรรมที่ประสบความสำเร็จอยู่แล้วมาปรับใช้กับวงการอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของไทย เช่น วงการอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของประเทศเกาหลีใต้ ที่ได้สอดแทรกเอาวัฒนธรรม สินค้า การท่องเที่ยวด้านต่างๆของประเทศมาใส่ไว้ในภาพยนตร์จนทำให้เป็นที่รู้จักและโด่งดังไปทั่วโลก
- ภาครัฐควรสนับสนุนบุคลากรที่ได้รับรางวัลทางด้านภาพยนตร์ที่ทำชื่อเสียงให้กับประเทศ เพราะบุคคลเหล่านี้จะสามารถต่อยอดและเป็นแรงบันดาลใจให้กับกลุ่มคนรุ่นใหม่ๆได้ หรืออย่างน้อยก็ควรช่วยเหลือเรื่องค่าใช้จ่ายด้านต่างๆบ้าง เช่น การไปดูงานยังต่างประเทศ เป็นต้น
- ภาครัฐควรมีส่วนช่วยและอนุญาตในเรื่องการขอสถานที่การถ่ายทำภาพยนตร์ ตามสถานที่ต่างๆให้สะดวกมากขึ้น เช่น สวนสาธารณะ อุทยาน หรือสถานที่ราชการ เพื่อให้การถ่ายทำภาพยนตร์ออกมาสมจริงและสอดคล้องกับเนื้อเรื่องมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม คาดว่าในปัจจุบันอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของไทยในปี 2564 นั้นจะสามารถปรับตัวได้ดีขึ้น ยกตัวอย่างเช่น หนังเรื่อง อีเรียมซิ่ง ซึ่งเป็นภาพยนตร์ไทยแท้สามารถทำรายได้เกินหลักร้อยล้านบาทไปแล้วในขณะนี้ นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีของคนทำภาพยนตร์และอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย รวมไปถึงเศรษฐกิจของประเทศไทยจะได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นด้วย
Credit ภาพ by https://www.salika.co/2019/09/28 https://www.kassandre.org/% http://5802548.blogspot.com/p/project.html
Leave A Comment